ชำระเงินงวดอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดหนี้ค้างชำระ
ปัจจุบัน ธอส.ใช้ระบบการคิดหนี้ค้างชำระแบบนับจำนวนวันค้างชำระหรือ Days Past Due (DPD) ที่ถือเป็นมาตรฐานเดียวกับธนาคารพาณิชย์ทั่วไปโดยหลังจากที่ทำสัญญาเงินกู้กับ ธอส. แล้วลูกค้าจะสามารถชำระเงินงวดรายเดือนตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ทำสัญญาเงินกู้ในเดือนถัดไป อาทิหากทำสัญญาเงินกู้วันที่ 20 พฤษภาคม 2558 ลูกค้าสามารถชำระเงินงวดได้ระหว่างวันที่ 1-20 มิถุนายน 2558 หากลูกค้าไม่ชำระในช่วงเวลาดังกล่าว วันค้างชำระ (DPD) จะเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2558 เป็นต้นไป ดังนั้น ลูกค้าสินเชื่อของธนาคารควรจะชำระเงินงวดเต็มจำนวนอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน เพราะหากผิดนัดชำระจะก่อให้เกิดหนี้ค้างชำระ กรณีลูกค้าขาดการส่งชำระเงินงวดในเดือนใด ลูกค้าจะต้องชำระเงินสำหรับ 2 งวดในเดือนถัดไปทันที เพื่อให้ทันงวดตามสัญญา กรณีที่ลูกค้าส่งชำระมากกว่าเงินงวดที่ธนาคารกำหนดในแต่ละเดือน ธนาคารจะนำเงินส่วนเกินดังกล่าวไปตัดเงินต้นให้ลดลง มิใช่เป็นการชำระเงินงวดล่วงหน้าในเดือนถัดไป ลูกค้าจึงยังต้องชำระเงินงวดตามสัญญาในเดือนถัดไปอยู่
นอกจากนี้ยังควรตรวจดูในใบเสร็จรับเงินทุกครั้ง หากปรากฏว่ามีค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย หรือหนี้ค้างชำระคงเหลือ ควรรีบติดต่อธนาคารทันทีเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง และหากมีหนี้ค้างชำระก็ควรชำระหนี้ค้างทั้งเงินต้น และดอกเบี้ยให้ครบจำนวน หรือรีบติดต่อธนาคารเพื่อหาวิธีการแก้ไขสถานะบัญชีให้ปรกติ ซึ่งหาก DPD ครบ 30 วันธนาคารจะมีหนังสือเตือนเพื่อให้ชำระหนี้ค้าง ส่วนกรณีที่ DPD ครบ 75 วัน ธนาคารจะปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยผิดนัดทันที 13.50% และถ้ามี DPD เกิน 90 วัน ธนาคารมีความจำเป็นต้องดำเนินการทางกฎหมายโดยมีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองฟ้องคดีลูกค้าต่อศาล เพื่อให้พิพากษาและยืดทรัพย์สินที่จำนองออกขายทอดตลาด เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ต่อไป
ส่วนกรณีที่ลูกค้าชำระเงินงวดผ่านตัวแทนรับชำระหนี้เงินกู้ของธนาคาร ซึ่งประกอบด้วยที่เคาน์เตอร์เซอร์วิส (ร้าน 7-11). ที่ทำการไปรษณีย์. เทสโก้ โลตัส. ธนาคารเพื่อการเกษตร (ธ.ก.ส) . AIS (ร้าน TELEWIZ SHOP). ทีโอที. Jay Mart Pay Point และ ทรู มันนี่เอ็กซ์เพรส มีข้อพึงระวังเพื่อไม่ให้มี DPD คือ การตัดชำระเงินกู้จะมีผลใน 1 วันทำการถัดไปหลังจากชำระเงินงวดผ่านตัวแทน ดังนั้น หากวันสิ้นเดือนตรงกับวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดราชการและวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดราชการและวันหยุดธนาคาร ลูกค้าจึงควรชำระเงินอย่างช้าก่อนถึงวันหยุดสิ้นเดือน 2 วัน
และเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาระกรณีที่ธนาคารจำเป็นต้องส่งเอกสารสำคัญไปถึงลูกค้า ดังนั้นผู้ที่เปลี่ยนแปลงที่อยู่อาศัยจากที่เคยแจ้งกับธนาคารเมื่อครั้งที่ทำสัญญาเงินกู้ ควรรีบติดต่อธนาคารเพื่อแจ้งความประสงค์ปรับปรุงข้อมูลส่วนบุคคล และที่อยู่ติดต่อใหม่ สามารถดำเนินการได้ทุกที่ทุกสาขาของธนาคารทั่วประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นสาขาที่ทำเงินกู้ หรือแจ้งเปลี่ยนแปลงข้อมูลทาง Internet ผ่าน WWW.GHBANK.CO.TH คลิกที่หัวข้อ “ติดต่อเรา”
โดยหลักฐานที่ต้องใช้ประกอบ คือ สำเนาทะเบียนบ้าน และสำเนาบัตรประชาชน พร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง หรือกรณีที่เป็นลูกค้าประเภทสวัสดิการหักบัญชีเงินเดือน และได้รับใบเสร็จรับเงินจากธนาคาร สามารถกรอกรายละเอียด เพื่อขอปรับปรุงข้อมูลส่วนบุคคลและที่อยู่ติดต่อได้ที่ด้านหลังใบเสร็จ และส่ง Fax พร้อมหลักฐานประกอบการกลับมาที่ เบอร์ Fax0-2645-9001 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2645-9000
http://www.homed4u.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539363006
https://www.facebook.com/profile.php?id=100009945105162