เลือกทำเลซื้อบ้าน - คอนโด ฯ อย่างไรให้รวย
โลเคชั่น โลเคชั่น และโลเคชั่นนับเป็นกุญแจสำคัญต่อความสำเร็จในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าอยู่เองหรือเพื่อขายต่อก็ตาม ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเรื่องอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบยังไม่ถูกใจ โทนสียังไม่ใช่ที่ชอบ เก่า เสื่อมโทรม เหล่านี้ล้วนสามารถดัดแปลง แก้ไข หรือตกแต่งใหม่ให้ถูกใจตรงกับความต้องการได้ แต่ถ้าทำเลที่ตั้งไม่ดีแล้วล่ะ ก็เป็นเรื่องยาก หรือแทบจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย
ดั้งนั้นกูรูด้านอสังหาริมทรัพย์จึงมักแนะนำและให้ความสำเร็จกับการเลือกทำเลที่ตั้งเป็นอันดับหนึ่งอยู่เสมอ หลักสำคัญในการเลือกทำเลให้ได้ดีและมีโอกาสทำกำไรหรือมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคตเท่าที่ประมวลจากคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์สรุปได้ดังนี้
1. ต้องเป็นทำเลที่มีแนวโน้มว่าจะมีความเจริญเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะการเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยชั้นดี มีการคมนาคมหลายรูปแบบ มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ สำหรับการอยู่อาศัยครบ ที่สำคัญถ้าทำเลนั้น ๆ กำลังมีการพัฒนาเชิงพาณิชย์เข้ามาในพื้นที่ก็จะยิ่งดี เช่น มีห้างสรรพสินค้าหรือมีคอมมูนิตี้มอลล์เกิดใหม่ ทำเลแบบนี้เหมาะกับการซื้อเพื่ออยู่เองและลงทุน (ให้เช้า-ขายต่อ) ซึ่งตัวอย่างของทำเลที่มีลักษณะเช่นนี้ในปัจจุบัน เช่น
*ทำเลสุขุมวิท (มีรถไฟฟ้า BTS, ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ มีโอกาสปล่อยเช่าแก่ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นมีความต้องการอาศัยในย่านนี้สูง)
*ทำเลถนนรัชดาภิเษก (มีรถไฟฟ้า MRT, ศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าชั้นนำ อาคารสำนักงานขนาดใหญ่ จึงมีโอกาสปล่อยเช่าให้กับคนที่ต้องย้ายเข้ามาทำงาน)
2. เป็นทำเลที่กำลังจะมีโครงข่ายคมนาคมใหม่ ๆ ตัดผ่าน เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ ถนน-ทางด่วนตัดใหม่ ฯลฯ ทั้งนี้ในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีโครงการรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง หรือที่กำลังจะได้อนุมัติให้ดำเนินโครงการเพิ่มเติม และจะทำให้มีสถานีเพิ่มขึ้นกว่า 200 สถานี โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ที่เป็นจุดตัดจุดเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าในอนาคต
ปัจจุบัน กทม. และปริมณฑล มีโครงข่ายรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการอยู่ 3 สายหลักคือ MRT, BTS, และแอร์พอร์ตลิงค์ ซึ้งบริเวณจุดตัดของรถไฟฟ้าเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดการพัฒนาทั้งในเชิงพาณิชย์และที่อยู่อาศัย อันส่งผลต่อมูลค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น ย่านอโศกและสีลม (จุดตัด MRT กับ BTS)
ขนาดที่ในอนาคตกำลังมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายใหม่และส่วนต่อขยาย ทั้งสายสีม่วง สายสีน้ำเงิน และสายสีแดง และที่กำลังจะเตรียมออก พระราชกฤษฏีกาเวนคืนที่ดินอีก 4 สาย คือสายสีชมพู สายสีเหลือง สายสีส้ม และสายสีเขียวเข้ม พื้นที่บริเวณจุดตัดของรถไฟฟ้าเหล่านี้จะเป็นที่น่าจับตามอง และเป็นที่สนใจของนักพัฒนาที่ดินอย่างแน่นอน
สำหรับทำเลที่กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงอันเนื่องมาจากการลงทุนของภาครัฐในระบบ โครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาเชิงพาณิชย์ของภาคเอกชน อาทิ
*ทำเลรังสิต (พื้นที่บริเวณใกล้ห้างเซียร์รังสิต ตลาดสี่มุมเมือง และฟิวเจอร์พารค์ รังสิต ซึ้งปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างรถไฟชานเมืองสายสีแดง รวมทั้งยังมีสถานศึกษาชั้นนำเช่น ม.รังสิต ม.กรุงเทพ เป็นต้น)
*ทำเลเพชรเกษม-บางแค โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างรถไฟฟ้า BTS และรถไฟฟ้า MRT ที่บริเวณสถานีบางหว้า
*ทำเลบางใหญ่-รัตนธิเบศร์ ที่นอกจากจะมีรถไฟสายสีม่วงจากบางซื่อ-บางใหญ่แล้ว ยังมีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ทั้งเซ็นทรัลเวสท์เกตและ เมกกาบางใหญ่ เตรียมผุดรองรับการขยายตัวของบ้านจัดสรรค-คอนโด ฯ ย่านดังกล่าว โดนเฉพาะบริเวรจุดตัดถนนวงแหวน กับถนนรัตนาธิเบศร์ในอนาคตจะกลายเป็นฮับของโซนตะวันตกของกรุงเทพ ฯ เลยทีเดียว
*ทำเลถนนพหลโยธิน (ใกล้แยกเกษตร ฯ ม.เกษตรศาสตร์ เมเจอร์ ฯ รัชโยธิน รถไฟฟ้าสายสีเขียว เส้นทางหมอชิต-สะพานใหม่-คูคตที่กำลังจะมา)
*ทำเลบางนา-อ่อนนุช (ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ไบแทก ศูนย์การค้าใหม่ของเดอะมอลล์ และรถไฟฟ้าสายสีเหลืองจากลาดพร้าว-สำโรงที่เตรียมจ่อเข้า ครม.)
3. ต้องเป็นทำเลที่ไม่มีข้อจำกัดทางกฎหมาย เช่น กฎหมายเวนคืนที่ดิน กฎหมายผังเมือง กฎหมายควบคุมการก่อสร้างอาคาร หรือกฎหมายอื่น ๆ อาทิ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการบิน เขตพื้นที่อ่อนไหวทางการทหาร เป็นต้น
4. ช่วงเวลาในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ในทำเลที่กล่าวมานี้แยกว่าต้องเป็นช่วงต้น ๆ ของ Timing ไม่ใช่ว่าเป็นช่วงปลาย เพราะโอกาสที่จะได้มูลค่าเพิ่มมีสูงกว่า
5. เนื่องจากจะมีทำเลเกิดใหม่เพิ่มขึ้นอีกมากมาย ดังนั้นจึงควรเลือกซื้อในทำเลและราคาที่เหมาะสมกับกำลังซื้อของตัวเอง เพราะหากซื้อเกินกำลังจะผ่อนต่อไม่ไหว สุดท้ายก็จะไม่เหลืออะไรให้กลายเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าในอนาคตได้
ที่มาจาก บ้านพร้อมอยู่
http://www.homed4u.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539363006
https://www.facebook.com/profile.php?id=100009945105162